ไทยโพสต์: อึ้ง! ปชช.แค่ 28% หนุนตั้งสังฆราช --> พศ.จะว่าอย่างไรครับ เข้าข่ายรายงานเท็จหรือไม่?

กระทู้ข่าว
http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%8828-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A

อึ้ง!ปชช.แค่28% หนุนตั้งสังฆราช
Monday, February 29, 2016 - 00:00

"นิด้าโพล" ระบุ ปชช.ส่วนใหญ่ 45.80% แนะนายกฯ รอให้ความขัดแย้งวงการสงฆ์คลี่คลายก่อนทูลเกล้าฯ ถวายชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ มีเพียง 28.30% ให้เสนอชื่อสมเด็จช่วงตามมติ มส. "ไพบูลย์" ชี้เจ้าอาวาสวัดปากน้ำมัวหมอง เพราะการเมืองลูกศิษย์และคนใกล้ชิด "มจร." ปลุกสภานิสิตทั่ว ปท.คว่ำบาตรรัฐบาลแทรกแซงสงฆ์ "พระปลัดนนท์" อ้างพระไตรปิฎกเขียนไว้ทำได้ "ดีเอสไอ" ย้ำ "พระธัมมชโย-วัดธรรมกาย" ผิดชัดรับเช็คสหกรณ์ฯ คลองจั่น

เมื่อวันอาทิตย์ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ โดยสอบถามประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ ระหว่างวันที่ 23-24 ก.พ.2559 พบว่า การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ส่วนใหญ่ร้อยละ 45.80 ระบุนายกรัฐมนตรีควรรอให้ความขัดแย้งในวงการสงฆ์คลี่คลายก่อน จึงค่อยขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่

ขณะที่ร้อยละ 28.30 ระบุว่านายกรัฐมนตรีควรดำเนินการตามมติของมหาเถรสมาคมเสนอชื่อสมเด็จช่วง วัดปากน้ำฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช, ร้อยละ 18.31 ระบุว่านายกรัฐมนตรีควรใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้มหาเถรสมาคมเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ 2-3 รูป ให้พระมหากษัตริย์ทรงวินิจฉัย, ร้อยละ 0.56 ระบุอื่นๆ ได้แก่ ควรเสนอชื่อใหม่ แต่ไม่ต้องการให้พระมหากษัตริย์ทรงวินิจฉัย ต้องการให้คณะสงฆ์เลือกกันเองตามความเหมาะสม ขณะที่บางส่วนระบุว่าไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และร้อยละ 7.03 ไม่ระบุ

ต่อข้อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการมีสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ เช่น พระครู พระธรรม พระเทพ พระราช สมเด็จ พบว่า ประชาชนร้อยละ 62.11 ระบุว่า พระสงฆ์สมควรมีสมณศักดิ์ต่อไปเหมือนเดิม เพื่อยกย่องพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี และมอบหมายภาระหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ รองลงมาร้อยละ 19.82 ระบุว่าพระสงฆ์สมควรมีสมณศักดิ์เฉพาะสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น เพื่อแสดงถึงตำแหน่งหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์, ร้อยละ 12.87 ระบุว่า พระสงฆ์ไม่สมควรมีสมณศักดิ์อีกต่อไป เพื่อจะได้ตัดขาดจากการหลงในลาภ ยศ สรรเสริญและความพยายามในการมีตำแหน่งทางสงฆ์ และร้อยละ 5.20 ไม่ระบุ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่เห็นด้วยและสนับสนุนให้ตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ เป็นพระสังฆราช มีเพียง 28-29 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเห็นว่ายังไม่ควรตั้งสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชถึง 45 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าเรื่องใดที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายนั้นถ้ามีข้อโต้แย้งหรือมีคดีที่ยังสะสางไม่เสร็จ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำเสนอ ไม่ใช่ว่ามีผู้สนับสนุนมาก มหาเถรสมาคม (มส.) มีมติเป็นเอกฉันท์ แล้วจะเป็นข้ออ้างในการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
จี้เร่งสอบคดีสมเด็จช่วง

"ดังนั้นจึงต้องเร่งรัดคดีเพื่อตรวจสอบว่าสมเด็จช่วงมีความผิดหรือไม่ ถ้าไม่มีความผิดก็ดำเนินการเสนอชื่อตั้งเป็นสังฆราช แต่ถ้ามีความผิด ก็จะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามกฎหมาย" นายไพบูลย์กล่าว

อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนากล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ทำให้สมเด็จวัดปากน้ำยิ่งเสียหายหนัก ซึ่งก่อนหน้าก็เสียเพราะลูกศิษย์ ที่จริงแล้วสมเด็จช่วงมีอาวุโสทางสมณศักดิ์ หากไม่มีเรื่องคดีความและไปช่วยพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ไม่ปาราชิก หรือกรณีที่พระเมธีธรรมาจารย์ออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 58 ต่อต้าน สปช. สมเด็จช่วงก็ไม่ได้ห้ามปราม รวมทั้งเจ้าคุณเบอร์ลิน พระโสภณพุทธิวิเทศ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และพระราชวิจิตรปฏิภาณ(สุนทร ญาณสุนทโร) หรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร ที่ออกมาเร่งรัดให้ตั้งสมเด็จช่วงเป็นสมเด็จพระสังฆราช เพราะจะได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งเป็นโทษกับสมเด็จวัดปากน้ำฯ เกิดกระแสคัดค้านการตั้งสังฆราชรุนแรงขึ้น

"ท่านสามารถออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ไม่ทำ แสดงว่าท่านเองเห็นด้วย ทั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยเรื่องนี้มีน้อย ต้องการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ผู้ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดดำรงตำแหน่ง แต่ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็ต้องพระถัดไปดำรงตำแหน่ง" อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปฯ พระพุทธศาสนา กล่าว

ถามถึงคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด นายไพบูลย์กล่าวว่า ทราบเบื้องต้นอยู่ในระหว่างชี้มูลความผิด และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริการสหกรณ์ฯ ว่าเป็นการลักทรัพย์ เป็นการรับของโจร ต้องดำเนินคดีอาญาและเรียกมาดำเนินคดี

ด้าน พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า การแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด สั่งจ่ายเช็คไปถึงทั้งวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระเครือข่ายนั้น การสอบสวนในส่วนของผู้รับเช็คทั้งหมดยังไม่เสร็จ เพราะว่าพนักงานอัยการทำหนังสือแจ้งกลับมาทางดีเอสไอเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้ดีเอสไอดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นนี้ด้วย

พ.ต.ท.สมบูรณ์กล่าวว่า อัยการยังสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และพวก ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งดีเอสไอได้สอบสวนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ เพิ่มเติมแล้ว โดยในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ดีเอสไอจะไปแจ้งข้อกล่าวหากับนายศุภชัย ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมเรียกผู้ต้องหาอีก 3 คน มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่ดีเอสไอด้วย

ถามถึงความเชื่อมโยงวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า พนักงานอัยการแนะนำให้ดีเอสไอสามารถดำเนินการพิจารณาในเรื่องของฐานความผิดฟอกเงินหรือรับของโจร ในกรณีผู้ที่รับเช็ค 887 ฉบับ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จากนายศุภชัย หากเห็นว่าเป็นความผิดให้แจ้งข้อกล่าวได้เลย

"จากการสอบสวนเส้นทางการเงินมีข้อเท็จจริงชัดเจนแล้วว่าวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยมีการรับเช็คจากนายศุภชัยไปจริง ซึ่งตรงนี้ไม่มีข้อสงสัยอีก เพียงแต่ว่าการรับเช็คของพระธัมมชโยเป็นการรับโดยอาศัยมูลหนี้อะไร ตรงนี้อยู่ระหว่างสอบสวน แล้วจึงจะมาพิจารณาว่าการรับเช็คน่าจะมีความผิดหรือไม่ และถ้าเข้าข่ายความผิดจะผิดฐานใด ระหว่างเป็นการฟอกเงินหรือรับของโจร ดีเอสไอจะต้องสอบสวนต่ออีกสักระยะ" รองอธิบดีดีเอสไอกล่าว

วันเดียวกัน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เดินทางไปวัดท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เพื่อมอบป้ายหมู่บ้านศีล 5 มอบเช็ค 1 ล้านบาท ให้ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน ในการสร้างอาคารอเนกประสงค์ และยังได้มอบเช็ค 1.8 ล้าน ให้ กับโรงพยาบาลกระทุ่มแบน ในการสร้างอาคารอุบัติเหตุ พร้อมกันนี้ได้พิธีวางศิลาฤกษ์ดอกไม้มงคล วิหารฟ้าบันดาล โดยมีเหล่าบรรดาศิษย์ยานุศิษย์ร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก
ปลุกพระคว่ำบาตร 'รบ.'

พระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เจ้าคณะภาค 7 (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน) ยืนยัน คณะสงฆ์ไม่ได้ขัดแย้งแตกแยก โดยเฉพาะการเสนอนามสมเด็จช่วง เพราะกรรมการ มส.ทั้งฝ่ายธรรมยุตและฝ่ายมหานิกายมีมติเห็นชอบร่วมกันตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ซึ่งการที่ มส.มีมติเกี่ยวกับเรื่องสังฆราชออกไปแล้ว ฝ่ายรัฐบาลไม่ให้ความเชื่อถือเป็นสิ่งไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อน

พระพรหมเสนาบดีกล่าวว่า ได้รับรายงานมีทหารเข้าไปตามวัดต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ฝ่ายบ้านเมืองทำไม่เหมาะสม ไม่ให้เกียรติคณะสงฆ์ไทย ซึ่งคณะสงฆ์จะทำอะไร มีระบบมีพระธรรมวินัย ยึด พ.ร.บ.คณะสงฆ์และจริยาพระสังฆาธิการคอยกำกับอยากให้ระลึกถึงสิ่งที่พระสงฆ์ได้กระทำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ประชาชนสังคมและประเทศชาติ

“ตอนนี้การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับศาสนา ชาวบ้านประชาชนทั่วไปเขาดูออกว่ารัฐบาลกระทำอย่างไรกับคณะสงฆ์ พยายามให้ประชาชนเห็นว่าคณะสงฆ์ขัดแย้ง ซึ่งความจริงไม่มีเลย เวลานี้จะให้คณะสงฆ์รวมพลังกันให้เห็นก็ได้ และอยากจะบอกว่าพระสงฆ์มีแต่ธรรมะ ไม่มีศาสตราวุธ ขอให้ฝ่ายบ้านเมืองให้เกียรติคณะสงฆ์กันบ้าง ให้นึกถึงคุณงามความดีที่คณะสงฆ์ได้ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง หากเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ต่อไปความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะอยู่ได้อย่างไร” เจ้าคณะภาค 7 กล่าว

เช่นเดียวกับ พระปลัดนนท์ ประธานสภานิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า ขณะนี้สภานิสิต มจร.ได้ประสานไปยังสภานิสิตทุกวิทยาเขตทั่วประเทศแล้ว เพื่อเตรียมแสดงท่าทีและจุดยืนต่อรัฐบาลในการไม่เชื่อถือมหาเถรสมาคม ต่อองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย และปฏิบัติต่อคณะสงฆ์แบบเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการส่งทหารมาดูและควบคุมนิสิตตามวิทยาเขตต่างๆ เป็นการละเมิดต่อสิทธิของสถาบันการศึกษา เป็นการคุกคามทางอ้อม เนื่องจากพระนิสิตก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ทางนิสิต มจร.จะประสานความร่วมมือกันว่าจะเดินหน้าอย่างไรในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

"การคว่ำบาตรรัฐบาล อาตมาไม่ได้พูดลอยๆ เนื่องจากคำว่าคว่ำบาตรมีอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับหลวงภาษาไทย เล่มที่ 7 โดยพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ 8 คือ 1.ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย 2.ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย 3.ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย 4.ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย 5.ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน 6.กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า 7.กล่าวติเตียนพระธรรม 8.กล่าวติเตียนพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้คว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ 8 นี้” ประธานสภานิสิต มจร.กล่าว

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ได้เดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม จ.นครพนม และร่วมพิธียกเสาเอกอาคารเรียมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครพนม มีพระสงฆ์รูปหนึ่งถามเป็นการส่วนตัวว่า เมื่อมหาเถรสมาคมได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ด้วยการมีมติเห็นชอบผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ทำไมนายกรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย คือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ การประวิงเวลาการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย นอกจากหมิ่นเหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายแล้ว สิ่งที่หนักหนาสาหัสมากกว่าคือ ความขัดแย้งระหว่างสององค์กร คือ รัฐบาลกับมหาเถรสมาคม ภาพอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยและได้เชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ

"การที่มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นองค์กรตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ได้มีมติแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชแล้ว เป็นการปฏิบัติตามข้อกฎหมายครบถ้วน รัฐบาลควรดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน ถ้ายังปล่อยคาราคาซังอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดีแก่บ้านเมืองอย่างแน่นอน ความร้าวฉานจะแผ่ขยายอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ซึ่งไม่ควรจะเกิดถ้ารัฐบาลทำตามกฎหมายคณะสงฆ์ดังกล่าว" รักษาการรองเลขาฯ พรรคเพื่อไทย

ที่ จ.ระยอง มีกลุ่มประชาชนได้สวมเสื้อดำมาชุมนุมคัดค้านการจัดพิธีตักบาตรพระ 1,250 รูป ถวายเป็นพุทธบูชา และช่วยเหลือคณะสงฆ์ 323 วัดใน 4 จังหวัดภาคใต้ ที่บริเวณริมถนนสุขุมวิท ขาออกเมือง เขตเทศบาลนครระยอง ของเครือข่ายชาวพุทธและคณะสงฆ์จังหวัดระยอง โดยระบุว่า เป็นการคัดค้านลัทธิธรรมกาย.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่